วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปีศาจในตำนานกรีก

    กอร์กอน(Gorgon)

เป็นอสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวมีผมเป็นงู มีด้วยกันสามพี่น้องคงกระพันฆ่าไม่ตาย ยกเว้นตัวน้องสุดท้องที่ชื่อเมดูซ่าที่อาจฆ่าให้ตายได้ หากผู้ใดมองตานางเมดูซ่าจะกลายเป็นหิน ตำนานกล่าวว่าเดิมทีกอร์กอนทั้งสามเป็นเทพธิดารูปงามและอ่อนโยน มีความบริสุทธิ์เป็นพรหมจารีย์ แต่ขณะที่เมดูซ่ากำลังบูชาเทวีเอเธน่าในวิหารได้ถูกโพไซดอนหลงรักและพยายามใช้กำลังข
  ขืนใจ เรื่องรู้ถึงเทวีเอเธน่าทรงได้ฉวยโอกาศใส่ความว่าลบหลู่นางโดยการสมสู่ในวิหารของนาง
เนื่องด้วยความเดิมเอเธน่ากับเมดูซ่ามีแม่คนเดียวกัน และเอเธน่าต้องการทำลายเมดูซ่าให้สิ้นซาก จึง สาปให้เมดูซ่ามีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และสาปให้ผมที่สวยงามดุจเส้นไหมทองของนางกลายเป็นงูเลื้อยยั้วเยี้ยเต็มหัว จากหญิงพรหมจารีย์ที่งดงาม ก็กลายเป็นปีศาจที่น่าขยะแขยง เมดูซ่าทั้งโศกเศร้า อับอาย และน้อยใจในความอยุติธรรมทั้งที่เธอมิได้ทำผิด ทั้งที่เธอตั้งใจรักษาพรหมจารีย์ แต่นางก็มิเคยได้ผลความดีตรงนั้นเลยจนนางมีแต่ความอับอายและความแค้น จนเมดูซ่าต้องการทำลายทุกชีวิตที่ขวางหน้าจากความเกลียดชังที่ปะทุขึ้น ทุกคนที่มองหน้านางก็จะกลายเป็นหินไปหมด จนได้กล่าวขวัญเป็นอสูรกายที่ร้ายกาจที่สุดในตำนานกรีก

วีรบุรษเพอร์ซีอุสเป็นผู้สังหารเมดูซ่าโดยใช้ดาบที่เทวีเอเธน่าประทานให้ตัดหัวของเม
ดูซ่า จากนั้นเมดูซ่าก็จบชะตากรรมจากชีวิตอันโหดร้ายที่ไร้ซึ่งความยุติธรรมของเธอในที่สุด
นับว่าเป็นอสุรกายที่มีความเป็นมาอันน่าสงสารและน่าเห็นใจมากที่สุด                                                   บาซิลิสก์ (Basilisk)

เป็นงูใหญ่ที่น่ากลัวและน่าสยดสยองในตำนานกรีกและยุโรป ซึ่งแค่มองผ่านเหยื่อก็ทำให้เหยื่อตายได้ ในทำนองเดียวกับ เมดูซ่า

ได้มีนักเล่านิทานคนหนึ่งอธิบายว่า บาซิลิสก์เป็น " งูที่มีมงกุฎสีทองเล็กๆ บนหัว ในยุคกลางมีผู้เชื่อว่ามันเป็นเพียงงูที่มีหัวเหมือนไก่ บางครั้งก็มีหัวเป็นคน บาซิลิสก์เกิดจากไข่ที่ออกมาจากพ่อไก่ระหว่างที่ กลุ่มดาวสุนัขใหญ่ ปรากฏบนท้องฟ้า และได้คางคกเป็นผู้กกไข่ การมองเห็นบาซิลิกก์นั้นน่ากลัวสยดสยองมาก ถ้าสัตว์ใดก็ตามได้เพียงเห็นมันมองผ่าน แม้แต่ทางกระจกก็อาจตายได้ทันทีเพราะความกลัว วิธีเดียวที่จะฆ่ามันได้ก็คือต้องถือกระจกไว้ข้างหน้าตัวมันก่อนที่มันจะมองผ่านมา เมื่อมันมองมาในกระจกนั้น มันก็จะเห็นเงาตัวมันเองในกระจกและตายในทันที มีผู้เชื่อว่าบาซิลิสก์มีเขาหรือมีพังผืดด้วย "

ในยุโรปสมัยกลาง บาซิลิสก์ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย โดยคู่กับกริฟฟิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความดี บาซิลิสก์เป็นสัญลักษณ์ของเมือง บาเซิล (Basel) ใน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บาซิลิสก์ถูกนำไปใช้หลายครั้งตามนิยายแฟนตาซีต่างๆ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากเรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ

ซึ่งชื่อ บาซิลิสก์ นี้ได้ถูกตั้งเป็นทั้งชื่อเรียกสามัญ และชื่อวิทยาศาสตร์ของกิ้งก่าชนิดหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ มีหงอนบนหัว และสามารถวิ่งได้เร็วมากจนวิ่งบนน้ำได้ โดยกิ้งก่าชนิดนี้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Basiliscus basiliscus
.บาโฟเม็ต

เป็นรูปเคารพที่ถือเป็นเทพของลัทธิที่บูชา satan ลัทธิหนึ่งที่เป็นที่เคารพ
ของ Templar (อัศวินทางศาสนา) โดยที่ Baphomet เป็นเครื่องหมาย
แห่งความชั่วร้าย และ มนต์ดำ เป็นเครื่องหมายที่แทนถึง satan
เรื่องของ Baphomet เป็นส่วนหนึ่งของตำนานทาง Templar
มีหลายตำนานและหลายเรื่องราวที่มี การพูดถึง Baphomet
แม้จะผ่านมากว่า 600 ปีแล้ว แต่เรื่องราวของ Baphomet ยังคงเป็น
สิ่งลึกลับที่น่าสนใจอย่างไม่เสื่อมคลาย เรื่องของ Baphomet อยู่ในช่วง
ศตวรรษที่ 19 เชื่อกันว่ากลุ่มTemplar ที่เป็นอัศวินของทางศาสนา
ได้มีการสร้างลักทธิความเชื่อในการบูชาเทพปีศาจนาม Baphomet
พวกเขามีพิธีกรรมต่างๆที่แสนจะแปลกพิศดาร ที่จะกระทำต่อ Baphomet
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจและวัตถุประสงค์ต่างๆ พิธีกรรมของ Baphomet
มีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ขั้นต้นที่อัญเชิญBaphomet มา การให้ Baphometเข้า
สิงร่างและควบคุมร่างอย่างสมบูรณ์ รวมไปถึงการติดต่อกับ Baphomet
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอำนาจ ตอบสนอง ความปรารถนาต่างๆ รูปแบบ
ของพิธีกรรมมีหลากหลายขั้นตอนแต่สิ่งประกอบสำคัญทั่วไป คือ เลือด
และ การบูชายัญด้วยชีวิต
รูปแบบของBaphomet นั้นมีอยู่มากมาย จากตำนานต่างๆ แต่ที่มี
ความสอดคล้องกันคือ Baphomet จะมีรูปร่างเป็นมนุษย์
เพศชายรูปร่างกำยำ ในขณะที่ศรีษะจะเป็นศรีษะของสัตว์
รูปแบบที่พบกันบ่อยคือ หัวของแพะ และบางตำนานจะมีการเน้นถึงเรื่องความ
สัมพันธ์ทางเพศ พลังงานของ Baphomet จากอวัยวะเพศชายที่ตั้งตรง
และมีงูวนอยู่รอบๆด้วย นอกจากนี้ Baphomet ยังมีสิ่งประกอบอื่นๆอีก
เช่น สัญลักษณ์ ดาว 5 แฉกซึ่งเรามักจะเห็นเจ้าเครื่องหมายนี้อยู่คู่กับ
Baphomet เสมอ Eliphas Levi ผู้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องลัทธิความเชื่อนี้
ในศตวรรษที่ 19 ได้บรรยายถึงลักษณะของ Baphomet รวมไปถึงรูป
แบบดาว 5 แฉก นี้ว่า เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายและปีศาจ
ซึ่งในยุคกลางนี้ ดาว 5 แฉกในส่วนขวาบนจะหมายถึงหน้าร้อน
ในขณะที่ด้านกลับ หรือ ส่วนล่างจะหมายถึงหน้าหนาว ซึ่งเชื่อกันว่า
Levi ได้วาดรูปแบบของดาว 5 แฉก ไว้ 2 ลักษณะด้วยกัน
แบบแรก เป็นการสร้างรูปแบบของมนุษย์จากจุดทั้ง 5 ของดาว
โดยสื่อถึงธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามจุดแขนขาทั้ง 4 ของมนุษย์
โดยที่จุดที่ 5 คือ ศีรษะเป็นส่วนแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า
Microcosmic Man (จุลภพมนุษย์)
แต่รูปแบบของดาว 5 แฉกแบบที่ 2 นี้เป็นรูปแบบที่เกี่ยวกับBaphomet
อย่างชัดเจน รูปแบบดาว 5 แฉกแบบที่ 2 นี้ เป็นรูปแบบดาว 5 แฉกที่
กลับด้าน ในรูปแบบของศีรษะของแพะซึ่งก็คือสื่อถึง Baphomet นั่นเอง
ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างรูปแบบของมนุษย์ และ ปีศาจนั่นเอง
สัญลักษณ์ดาว 5 แฉกของ Baphomet นี้ ถูกใช้อย่างเป็นทางการในแง่
เครื่องหมายของsatan เริ่มโดย Anton Szandor La Vey ในปี 1996
แล้วจึงถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยลัทธิบูชา satan ต่างๆทั่วโลก
รูปที่เกี่ยวกับ Baphomet ส่วนมากจะถูกวาดและบรรยายโดย Levi
ซึ่งผลงานของ Levi เกี่ยวกับเรื่อง Baphomet นี้ ถูกใช้ครั้งแรกกับผลงาน
"A Pictorial History of Magic and the Supernatural"
ของMaurice Bessy ตีพิมพิ์ในฝรั่งเศสในปี 1961
และแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี 1964หลายปีหลังการเสียชีวิตของ
Levi ซึ่งทั้งหมดนี้แหละครับ คือ Baphomet 1 ใน เทพแห่งความชั่วร้าย
อีกรูปจำแลงของ satan ที่ลัทธิบูชา satan ต่างๆเคารพบูชากันอย่างแพร่หลาย
40.ไวเวิร์น
ไวเวิร์นเป็นมังกรชนิดหนึ่ง แต่ไม่จัดเป็นพวกเดียวกะพวกดราก้อน เพราะพี่แกออกแนวโฉดตัวเพรียวๆไปทางกิ่งก่าปกคลุมด้วยเกล็ดมากกว่ามังกรตัวบึ๊กๆ สิ่งที่จะทำให้แยกไวเวริน์ออกจากมังกรนั้นง่ายมากคือ ไวเวริน์จะมี2ปีกและ2ขา เหมือนกับตัวนาซกูลในThe lord และที่ปลายหางของมันจะมีลักษณะมีหนามแหลมคมว่ากันว่าเป็นพิษดุจแมงป่อง หรือมีแฉกอันแหลมคม
ตำนานของเจ้าตัวจิ้งเหลนมีปีกนี้มี2แนวด้วยกันที่เคยพบ

-แบบที่ดูดีหน่อยคือ ว่ากันว่าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายแต่เป็นสัญลักษณะของการคุ้มครอง ปกป้อง
ทำให้สมัยโบราณนำไปเป็นตราประจำตระกูล และ มักจะพบเห็นได้
บนโล่ห์ของผู้ถือสาน์ส (คาดว่า คงอยู่ในสมัยยุคกลาง หรือยุคมืดของยุโรป)

-ส่วนอีกแง่คือ ไวเวริน์เป็นมังกรนรก ที่อาศัยอยู่ระหว่างโลกและนรก สามารถแปลงร่างครึ่งบนเป็นหญิงแพศยา มีทับทิมสีแดงสดอยู่กลางหน้าผากไว้ส่องทางในนรก ตัวแทนแห่งความราคะ ตัณหา โลภ ความพยาบาท
ชูปาคาบรา (Chupacabra)

เป็นสิ่งมีชีวิตลึกลับในตำนานชนิดหนึ่ง มีผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันครั้งแรกในเปอร์โตริโกในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 และมีหลายคนรายงานว่า มันได้ฆ่าสัตว์ชนิดต่างๆเป็นจำนวนมาก และยังคงมีผู้พบเห็นมันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

จากลักษณะที่ผู้ที่พบเห็นสังเกต ชูปาคาบราที่ลักษณะคล้ายกิ้งก่า มีสีเขียวอมเทา มีความสูงประมาณ 1 เมตร และมีท่ายื่นและกระโดดคล้ายจิงโจ้
.อิมป์ (Imp)

เป็นตัวละครในเทพนิยาย พบได้เฉพาะในอังกฤษและไอร์แลนด์ บางครั้งอาจจำสับสนกับตัวพิกซี่ได้ ทั้งคู่มีส่วนสูงใกล้เคียงกัน (ประมาณหกถึงแปดนิ้ว) แม้ว่าอิมป์จะบินไม่ ได้อย่างพิกซี่ และสีสันไม่จัดจ้านเท่า(อิมป์มักจะมีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ) แต่อิมป์ก็มีอารมณ์ขันแบบทำลายข้าวของคล้ายคลึกกับพิกซี่ อิมป์ชอบอยู่ตามที่ที่ เปียกชื้นหรือเป็นหนองบึง มักจะพบอิมป์กินแมลงตัวเล็กๆ เป็นอาหาร ลักษณะการขยายพันธุ์เหมือนกับแฟรี่ ต่างกันเพียงอิมป์ไม่มีช่วงที่ต้องเป็นดัก แด้ ไข่ของอิมป์จะฟักตัวเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์เลยและมีส่วนสูงประมาณหนึ่งนิ้ว
.พิกซี่ (pixie หรือ pisky)

หนึ่งในเชื้อสายเผ่าพันธุ์แฟรี่ มีลักษณะเป็นภูตตัวเล็กๆ มีปีกแบบแมลง สูงไม่เกิน1ฟุต(ตามปกติ) และสามารถขยายหรือลดขนาดของตัวเองได้
44.การ์กอยล์ (Gargoyle)

คือ รูปสลักตามมุมต่าง ๆ ของสถาปัตยกรรมในแบบกอธิคต่าง ๆ ใน ยุโรป โดยมากจะสลักเป็นรูป มังกร หรือ ปีศาจ ในท่วงท่าต่าง ๆ โดยท่าที่รู้จักมากที่สุด คือ นั่งยอง ๆ ตามองไปทางข้างหน้า

การ์กอยล์ เชื่อว่า เดิมเป็นมังกร ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่า การ์กายล์เมื่อตอนกลางวันจะเป็นรูปสลัก ตกกลางคืนจะกลายร่างเป็นมังกรบินไปทั่วหมู่บ้านหรือเมืองที่อาศัย เพื่อปกป้องดูแลมิให้มีสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามารังควาญ
.ก็อบลิน (Goblin)

คือเป็นพวกโนมที่มีรูปร่างวิกลวิการ พวกมันชอบเล่นสนุก แต่บางครั้งก็ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสามารถทำอันตรายแก่ผู้คน รอยยิ้มของก็อบลินทำให้เลือดหยุดไหล เสียงหัวเราะทำให้นมบูดและผลไม้หล่น ก็อบลินมีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส

ตัวอย่างก็อบลินในภาพยนตร์ เช่น ตัวก็อบลินในเหมืองมอเรียในเรื่อง The Lord of The Ring หรือ Green Goblin ในเรื่อง Spider Man เป็นต้น
.แมนเดรก(Mandrake)

ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Mandragora อยู่ในตระกูล Solanaceae รากของแมนเดรกมีลักษณะคล้ายมนุษย์ จึงถูกนำมาใช้ในเรื่องพิธีการเวทมนตร์ต่างๆ และปรากฏอยู่ในตำนานและนิยายหลายเรื่อง

แมนเดรกมีเสียงกรีดร้องแหลมสูงเวลามันถูกทำให้ตกใจ ผู้ที่ได้ยินเสียงร้องของแมนเดรกมีโอกาสถึงตายได้ แต่ในขณะที่แมนเดรกยังเป็นต้นอ่อนอยู่ เสียงร้องของมันจะเพียงแค่ทำให้สลบเท่านั้น เชื่อกันว่า น้ำยาที่สกัดได้มาจากต้นแมนเดรกสามารถลบล้างคำสาปได้แทบทุกชนิด
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น